หลังจากที่จองโรงแรมและรู้เตรียมการเดินทางเข้าเมืองจากสนามบินนาริตะไปเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปผมก็เตรียมจองตั๋วรถบัสไปเพื่อไปดูภูเขาไฟฟูจิที่ Kawaguchiko เข้าไปที่เว็บไซต์นี้เลยครับ http://highway-buses.jp/ มีภาษาไทยให้เลือกด้วยนะครับ ลองเข้ามาดูกันว่าหลังจากที่เลือกภาษาไทย และเลือกตรงทะเลสาบคาวากุจิ แล้วหน้าตาจะเป็นยังไง
ถ้าเลื่อนหน้าจอลงไป ก็จะมีตารางเวลาเดินรถ เที่ยวแรกคือ 6.05 น. ใครใคร่เดินทางเที่ยวไหนเลือกกันได้ตามสบาย เลื่อนลงไปคลิกที่การจองตั๋ว (ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นภาษาอังกฤษ) เลือกวันเดินทาง เลือกเที่ยวรถ แต่จากที่ผมลองอยู่หลายครั้ง ถ้าคลิกการจองตั๋วที่อยู่ด้านล่าง จากหน้าที่เป็นภาษาไทย สามารถเ้ข้าไปเลือกวันเดินทางได้ แต่พอเป็นเวลาเดินรถกลับไม่ขึ้น
ขอแนำนำให้คลิกจากการจองตั๋ว ทางด้านซ้าย จะเปิดหน้าต่างใหม่ หน้าตาแบบนี้
ซึ่งผมว่าดูง่ายกว่ากันเยอะ จะเลือกเดินทางจากสถานี Shinjuku หรือ Shibuya ก็ได้ครับ แต่ที่สถานี Shibuya รถเที่ยวแรกจะออกสายกว่า คือเวลา 6.45 น. ก็ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ เมื่อจองเสร็จแล้วก็พิมพ์ใบจองออกมาเลยครับ เงินยังไม่ต้องจ่าย เก็บแบบฟอร์มการจองไว้ไปยื่นที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วในวันเดินทาง สำหรับตัวผมเลือกการเดินทางจากสถานี Shinjuku รถเที่ยวแรกเวลา 6.05 น.ซึ่งการเดินทางไปขึ้นรถบัสที่สถานี Shinjuku หรือ Shibuya มีคนรีวิวเอาไว้แล้ว ลองหาดูนะครับ หรือลองติดตามการเดินทางของผมในตอนต่อไป จะบอกการเดินทางไปขึ้นรถบัสที่สถานี Shinjuku ครับ
ถ้าจองไปแล้ว อยากจะเปลี่ยนวัน เปลี่ยนเที่ยว ก็เข้าไปยกเลิกการจอง ตรง On-Line Cancellation Form แล้วก็จองใหม่ครับ แต่ระวังจะเกิดปัญหานะครับ เพราะตอนที่ผมไปรับตั๋ว เจ้าหน้าที่บอกว่า ของผมมี 2 บุ้คกิ้ง ทั้งที่ยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ชี้แจงไปครับว่าเราเดินทางกันแค่ 3 คน และทำการยกเลิกออนไลน์แล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ว่าอะไรครับ จ่ายเงินแค่ 3 คน
อยากจะบอกว่า จากที่อ่านมา คนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือไม่พูดภาษาอังกฤษ ไม่จริงเลยครับ ภาษาญี่ปุ่นของผมได้แค่ โอฮาโย โกไซมัส, คอนนิจิวะ และ อาริกาโตะ สามคำเท่านั้น นอกนั้นใช้ภาษาอังกฤษ
ความจริงหาข้อมูล เจอหลายกระทู้ที่เข้ามาถามว่าพูดอังกฤษไม่ได้ไปญี่ปุ่นได้มั้ย หลายคนก็เข้ามาตอบว่า ไปได้ถ้าเตรียมข้อมูลดีๆ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่ารู้บ้างก็ดีนะ ไม่ต้องพูดได้เป็นประโยคหรอกครับ เอาเป็นคำๆ ก็ได้ เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินอย่างที่ผมเคยเจอมา เช่น ญาติหัวใจวายที่เมืองจีน คุยกับคนจีนไม่รู้เรื่องหรอกครับ แต่ภาษาอังกฤษนิดหน่อยๆ ทำให้คุยกับหมอรู้เรื่องได้
หรืออ่านเจอกระทู้นึงในพันทิป รู้ว่าพาสปอร์ตหายตอนประมาณเที่ยงของวันศุกร์ ก่อนขึ้นเครื่อง 6 ชม ซึ่งถึงคุณจะเตรียมเอกสารไปดีขนาดไหน คุณก็ต้องไปแจ้งความและคุยกับตำรวจเป็นภาษาอังกฤษ พอฟังออกบ้างว่าเค้าถามอะไร และที่สำคัญเงินสำรองหรือบัตรเครดิตคุณพร้อมมั้ย เพราะนักท่องเที่ยวรายนี้ ถึงแม้ว่าจะไปกันสองคน แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ญี่ปุ่นต่อคนเดียว เพราะไม่สามารถติดต่อสถานทูตได้ทันในวันศุกร์ ต้องติดต่อและเดินทางกลับในวันจันทร์ เสียเงินเพิ่มอีก 15,000 บาท เพื่อนกลับไปก่อน เพราะไม่งั้นก็ต้องเสียเงินค่าตั๋ว ค่าที่พักเพิ่มเช่นกัน
สำหรับตัวผมแล้วก้ไม่ได้เตรียมตัวหาถึงขนาดว่าสถานทูตไทยตั้งอยู่ตรงไหน เตรียมรูปถ่ายติดตัวไปด้วย แต่ผมมีตัวช่วยโดยให้เพื่อนที่เมืองไทย ซึ่งมีเพื่อนอยู่ในโตเกียว แจ้งทางโน้นก่อนว่า ถ้าการเดินทางของผมมีปัญหาอะไรจะขอความช่วยเหลือจากเค้านะ และถ่ายหน้าพาสปอร์ตส่งต่อไปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของทุกคน ซึ่งคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว เรื่องบังเอิญร้ายๆ คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เตรียมพร้อมไว้สักนิดไม่เสียหายครับ
กลับมาเข้าเรื่องการเตรียมตัวกันต่อดีกว่าครับ เดี๋ยวไม่จบ ออกทะเลไปซะไกล สุดท้ายเป็นเรื่องการสื่อสารครับ เดี่ยวนี้ใครๆ ก็ต้องใช้ google maps ซึ่งต้องมีอินเทอร์เนต ผมเลือกใช้ สุโก้ยซิม ครับ https://www.facebook.com/sugoisim/?fref=ts ซื้อสองซิม รวมค่าส่ง 700 บาท ตามลิ้งค์ล็อตใหม่เหมือนราคาจะขึ้นแล้ว แต่เล่นเนตได้ไม่จำกัด ความเร็วไม่ลด ของผมได้แค่ 2 GB เหลือเฟือแล้วสำหรับใช้หาข้อมูลการเดินทาง อัปโหลดรูปนิดหน่อย แต่ก็ต้องตั้งค่าในโทรศัพท์นิดหน่อย ก่อนจะซื้ออินบ็อกซ์ไปสอบถามก่อนนะครับ ว่าโทรศัพท์รุ่นของเราสามารถใช้ได้มั้ย
ทำไมไม่เลือก pocket wifi เพราะ pocket wifi รวมแรล้วราคาแพงกว่า และต้องเดินทางตัวติดกันตลอด แยกกันเดินไม่ได้ นี่ผมสามารถแยกกันเดินได้ และแม้จะโทรศัพท์หากันไม่ได้ แต่ผมก็ยังสามารถโทรผ่าน Line หรือ Messenger ได้ เป็นภาระในการพกพาและชาร์จแบต ไม่ต้องเดินทางไปรับไปส่งคืน pocket wifi เพราะซิมส่งมาให้ถึงบ้านครับ
เมื่อโอนเงินซื้อซิม สองวันของก็ส่งถึงบ้าน ก่อนเดินทาง ผมก็ตั้งค่าโทรศัพท์ตามคำแนะนำในเว็บไซต์ http://www.sugoi-sim.com/user-guide.html
พอไปถึงโตเกียว เราก็ใช้ได้เลย
ตอนต่อไปเราจะเดินทางกันแล้วนะครับ
Monday, May 23, 2016
Saturday, May 14, 2016
เที่ยวโตเกียว 4 วัน 3 คืนด้วยตัวเอง : เตรียมตัวเดินทาง(2)
การจองโรงแรม
ก่อนหน้านี้ผมได้บอกว่า จะมาบอกเหตุผลในการเลือกซื้อตั๋วรถุไฟ ซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนในการวางแผนของผมนั้น อันดับแรกสุดเลยคือ การหาและจองโรงแรม อย่างงกันนะครับ ว่าทำไมเอาเรื่องรถไฟขึ้นมาพูดก่อนล่ะ ก็เพราะรถไฟคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่กลัวในการเดินทางของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
ดังนั้นในขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นนั้น ผมแนะนำให้หาข้อมูลกันก่อน จะจากช่องทางไหนก็ได้ เฟซบุ้ค เว็บไซต์ หรือหนังสือ ให้พอรู้ว่าในโตเกียวนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวไหนบ้างที่สนใจอยากไป อยู่ย่านไหน สำหรับผมที่งงกับแผนที่รถไฟ เมื่อได้รู้จักกับย่านต่างๆ ที่คุ้นหูมาตั้งแต่เด็ก อย่าง Shinjuku, Shibuya และ Harajuku ดีมากขึ้นแล้ว ก็ทำให้ผมได้รู้จักย่านอื่นๆ มากขึ้นด้วย อย่างเช่น Akihabara, Ueno, Asakusa ฯลฯ เพราะไม่เช่นนั้น เวลาหาโรงแรม เราจะไม่รู้จักเลยว่า โรงแรมตั้งอยู่ย่านไหน
ผมเริ่มต้นจากเว็บไซต์ www.booking.com เราสามารถเข้าไปจองได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน และสามารถยกเลิกได้ฟรี ซึ่งถ้าเรา เข้าเว็บไซต์ไปแล้วถ้าเจอหน้าตาเป็นภาษาไทย แล้วลองใส่ชื่อเมืองเป็นภาษาไทย ใส่วันที่มั่วๆ เข้าไป มันก็จะแสดงผลลัพธ์ออกมา ในตัวอย่าง ผมทดลองใส่ชื่อเมืองว่า โตเกียว และวันที่เข้าไป ได้ผลตามรูปครับ
เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยล่ะครับ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมใช้ภาษาอังกฤษครับ ถ้าใช้ภาษาอังกฤษได้ ก็อยากให้ใช้กันนะครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่าตอนเราไปต่างประเทศ มันไม่มีภาษาไทยให้เราอ่านครับ เพราะฉะนั้นทำตัวให้ชินๆ กับภาษาอังกฤษไว้หน่อยก็ดี จะสังเกตเห็นว่าชื่อสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น ผมจะใส่ไว้เป็นภาษาอังกฤษหมดเลย เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องเจอครับ จะจองกี่ห้อง ไปกี่คน ก็ใส่เข้าไป สามารถใส่ 1 ห้อง 3-4 คน ก็ได้ โรงแรมไหนมีห้อง Triple room ก็จะแสดงผลขึ้นมา บางโรงแรมไม่มี ก็จะแสดงให้เราจองสองห้อง
ผมก็เลือกดูโรงแรมจากคะแนนที่ได้ ราคา ทำเล ที่ตั้ง เช่นเราอยากพักย่านไหน Ueno, Shinjuku ก็เลือกดูกันเอง สำหรับการเดินทางของผมนี้ ผมเล็งย่าน Ueno ก็เลือกไว้สองสามโรงแรม เลือกที่ Asakusa ไว้หนึ่งโรงแรม เพราะดูจากเว็บแล้วห้องใหญ่มาก ราคาไม่แรงเท่าไหร่ ความจริง จองไว้เยอะกว่านี้อีกครับ จองก่อนแล้วค่อยมายกเลิกทีหลัง ใครจะเลือกโรงแรมเดียวกับตามรีวิวต่างๆ ก็ตามสบายเลยครับ
มาดูวิธีการเลือกโรงแรมของผมกันนะครับ ผมก็กดเข้าไปที่ชื่อโรงแรมในเว็บไซต์ booking.com ใต้ชื่อโรงแรมก็จะมีคำว่า แสดงแผนที่ หรือ show map เอาภาพโรงแรม Richmond Hotel Premier Asakusa International มาเป็นตัวอย่างแล้วกันนะครับ ว่ามันทำให้ผมได้รู้สิ่งที่ผมต้องการยังไง
เมื่อขยายแผนที่ดู เราก็จะเห็นว่าโรงแรมนี้ อยู่ใกล้สถานีรถไฟสองแห่ง คือ Tawaramachi Station จะมีสัญลักษณ์ของ Metro subway อยู่ ส่วนอีกสถานีหนึ่งคือ Asakusa Station ซึ่งจะมีรถไฟผ่านทั้ง Metro, Toei และ JR ตามสัญลักษณ์
จากนั้นผมก็เช็คระยะทางครับ ขอยกตัวอย่างอีกโรงแรมหนึ่งที่ผมเลือกไว้ในลิสต์นะครับ คือโรงแรม APA Hotel Keisei Ueno Ekimae เมื่อคลิกดูแผนที่ เฮ้ย มันใกล้กับสถานี Keisei Ueno มากเลยนี่หว่า ทำให้รู้ว่า โรงแรมนี้นะ อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า แต่ใกล้ขนาดไหนล่ะ
ก็เช็คระยะทางกันด้วย google map นี่แหละครับ จุดตั้งต้นก็ใส่ Keisei Ueno Station ปลายทางก็ใส่ชื่อโรงแรม ผลที่ได้คือ
เฮ้ย ใกล้แค่ 80 เมตร เอง แล้วถ้าจากสนามบินล่ะ จะเดินทางมาสถานีรถไฟ Keisei Ueno ยังไง Google Map อีกแล้วสิครับท่าน จุดตั้งต้นก็เป็น Narita Airport Terminal2
จากรูปข้างบน เครื่องผมลง 8.00 น. ก็เลยตั้งเวลาเริ่มต้นไว้ 9.00 ก็จะมีรายละเอียดขึ้นมาว่าเราสามารถเดินทางด้วยรถไฟสายอะไรได้บ้าง ราคาเท่าไหร่ ใช้เวลากี่นาที กี่ชั่วโมง ถ้าเราคลิกตรงรายการที่สอง keisei line ก็จะขึ้นรายละเอียดราคาขึ้นมาเช่นกัน และจะเห็นว่าถ้าเราพลาด skyliner เที่ยว 9.16 AM ก็ยังมีเที่ยว 10.00 AM อีก ไม่ต้องกลัวว่าจะออกมาจากด่าน ตม ไม่ทัน
และเมื่อเราคลิกเข้าไปที่รถไฟเที่ยว 9.16 AM ก็จะมีรายละเอียดขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น
เราก็จะเห็นว่า สามารถนั่งรถไฟต่อเดี่ยวมาถึงสถานี Keisei Ueno ได้เลย
ผมไม่ได้เลือกโรงแรม APA Hotel Keisei Ueno Ekimae เป็นที่พักทั้งที่อยู่ในลิสต์เพราะเนื่องจากจองห้อง twin ไม่ได้ มีแต่ห้อง double ซึ่งเมื่อดูรายละเอียดห้องจากเว็บไซต์แล้ว
เป็นเพราะขนาดเตียงครับ เคยเห็นในรีวิวบางอันบอกว่า บางโรงแรมเตียงจะมีขนาดแค่ 4 ฟุต หรือ สี่ฟุตครึ่ง (ก็คงราวๆ 130 ซม) ซึ่งผมกลัวว่าจะได้เตียงขนาดนั้น เลยตัดโรงแรมนี้ออกจากลิสต์ครับ ซึ่งเราสามารถเข้าไปยกเลิกการจองได้ตรง My booking หรือ ข้อมูลการจอง ของเราในเว็บไซต์ booking.com ครับ
แต่ถ้าใครไมเกี่ยงเรื่องขนาดเตียง APA Hotel Keisei Ueno Ekimae จากที่ผมสำรวจเมื่อตอนเดินทางลงรถไฟที่สถานี Keisei Ueno แล้วต้องขอบอกว่าใกล้มากจริงๆ ครับ แค่ลงรถไฟมา เจอทางออกอันแรก เดินขึ้นบันไดไปก็เจอถนน ข้ามถนนก็ถึงโรงแรมแล้วครับ แต่ถ้าจะเดินทางในเมืองก็ต้องเดินไปขึ้นรถไฟกันนิดนึงนะครับ เพราะต้องไปขึ้นรถไฟกันที่สถานี Ueno ไม่ใช่ Keisei Ueno อย่าสับสนกันนะครับ แต่สะดวกมากเวลาช้อปปิ้งกันมาเต็มที่ กระเป๋าหนักอึ้ง แล้วจะขึ้นรถไฟไปสนามบินนาริตะ
ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผมเลือกโรงแรม Red Planet Asakusa เป็นที่พัก อยูห่างจากสถานี Ueno มาสองป้ายรถไฟ เดินจากสถานี Tawaramachi เป็นระยะทาง 400 เมตร เพราะได้ห้อง twin ไม่ไกลจาก Tokyo skytree สามารถเดินไปวัด sensoji ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ของกินสะดวก เข้าดูรายละเอียดการเดินทางจากสนามบินไปโรงแรม ได้ที่นี่ ครับ
ซึ่งผมได้ตัดเอารายละเอียดการเดินทางส่วนหนึ่งมาให้ดูครับ
จะเห็นนะครับว่า google บอกขั้นตอนเราทุกอย่าง เมื่อเราลงรถไฟ skyliner ที่สถานี Keisei Ueno เราต้องเดินไปยัง Ueno Station ซึ่งมีป้ายบอกตลอดทางครับ ไม่ต้องกลัวหลง เพื่อมองหารถสาย Ginza Line ที่ไป Asakusa นะครับ เราก็มองหาป้ายครับ เจอป้ายไปที่อื่นก็ไม่ต้องสน ในรายละเอียดบอกเสร็จสรรพว่า 2 ป้าย (2 stops) ลงที่ Tawaramachi Station จากนั้นก็ขึ้นมาหาโรงแรมให้เจอครับ (ไว้จะเล่าให้ฟังในขั้นตอนการเดินทางครับ)
แต่ผมอยากให้ฟังครับอย่านับป้าย เค้าก็บอกเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรานี่แหละครับ ประกาศว่าสถานีต่อไปคือสถานีอะไร เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะถ้าคุณไปขึ้นรถไฟสายอื่น อย่างเช่น Chuo Line มันก็จะมีทั้งรถช้าจอดทุกป้าย รถแบบด่วนจอดไม่กี่ป้าย ถ้าคุณขึ้นผิดขบวนแล้วใช้นับป้ายเอา หลงแน่นอนครับ ถึงบอกว่าพอรู้ภาษาไปบ้างก็ดีนะ เพราะผมโดนมาแล้ว ตอนเราเปิด google map นำทาง ณ เวลานั้น google ก็จะขึ้นขบวนรถไฟที่เราจะไปได้ตอนนั้นมาเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นรถช้า จะไปถึงจุดหมาย อากู๋บอก 9 ป้าย แต่กว่าเราจะเดินไปถึง รถช้าไปแล้ว ขบวนต่อมาเป็นรถด่วน ไปถึงจุดหมายจอดแค่ 3 ป้าย ไปได้เหมือนกัน ค่ารถเท่ากัน แต่ถ้าคุณนับป้าย รถด่วนจะพาคุณเลยไปถึงไหนน้อ ไม่อยากคิด
ผมเอาแผนที่รถไฟมาใช้ประกอบนิดนึงว่า Metro Subway จะพาผมไปยังจุดหมายอย่าง Shinjuku, Shibuya, Ueno และที่อื่นๆ ได้หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าได้ ไม่มีปัญหา ก็เลยเป็นเหตุผลให้ผมซื้อตั๋ว Keisei Skyliner+ Tokyo Subway 72 hours ตามที่กล่าวไว้ในตอนที่แล้วครับ
มาถึงจุดนี้ คงพอจะได้ไอเดียในการจองโรงแรม การเลือกวิธีการเดินทางกันบ้างแล้วนะครับ ชอบโรงแรมไหน ก็ลองเอา google map ตั้งจากสนามบินไปโรงแรมเลยครับ ดูสิว่าคุณจะต้องต่อรถไฟกี่ต่อ ที่พักของคุณอยู่ใกล้ JR หรือ Metro เดินจากสถานีรถไฟไกลมั้ย
ตอนต่อไปจะมาเล่าเรื่องการจองตั๋วไปดูภูเขาไฟฟูจิให้ฟังครับ
Thursday, May 12, 2016
เที่ยวโตเกียว 4 วัน 3 คืนด้วยตัวเอง : เตรียมตัวเดินทาง(1)
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น และเพิ่งจะมีโอกาสได้ไปเป็นครั้งแรก หลังจากที่คนไทยแห่กันไปไม่รู้กี่แสนกี่ล้านคนแล้ว และจากการหาข้อมูลด้วยตัวเอง จากรีวิวต่างๆ ทั้งในเว็บไซต์ เฟซบุ้ค และตามบล็อกต่างๆ รวมทั้งหนังสืออีก 3 เล่ม เลยอยากนำประสบการณ์ของตัวเองมาแบ่งปันบ้าง
ผมเป็นคนที่ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็จะวางแผนล่วงหน้า เพราะไม่อยากไปเสียเวลาวนหาที่กินที่เที่ยว คือถ้าจะหลงก็ให้หลงน้อยที่สุด ซึ่งก็คงเหมือนนักเดินทางหลายๆ ท่าน ดังนั้น พอคิดจะไปโตเกียว สิ่งที่หยิบมาวางอันดับแรกเลยก็คือ แผนที่รถไฟในกรุงโตเกียว ที่เค้าว่ากันว่าวุ่นวายที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ลองดูแผนที่กันเลยนะครับ
ผมเห็นแผนที่ ถึงกับมึนตึ้บ ทำไมต้องมีสองอันด้วย subway หรือ Metro ก็มีหลายสี แยกเป็น Asakusa line, Ginza line ฯลฯ ส่วน JR ก็ยังหลายสีอีกมี Yamanote line, Chuo line และอีกสารพัด line แล้วมันเดินทางยังไงล่ะเนี่ย หลายคนคงเป็นแบบผม จะเริ่มต้นยังไงดี
เราจะว่ากันด้วย Subway กับ JR เท่านั้นนะครับ ความจริงยังมี Toei อีกสายหนึ่ง แต่จะไม่เอามาพูดถึง เพราะแค่นี้ก็งงพอแล้ว จากการที่ศึกษาข้อมูลมา Subway จะเป็นรถไฟใต้ดิน และเป็นของเอกชน ส่วน JR นั้นจะเป็นรถบนดิน เป็นของรัฐบาล
ทีนี้ เครื่องบินของผมลงที่สนามบินนาริตะ ผมต้องเลือกแล้วล่ะว่า จะเดินทางเข้าเมืองด้วยวิธีการไหนดี รถไฟ หรือ รถบัส และจะซื้อตั๋วแบบไหน ผมอยู่โตเกียวเป็นเวลา 4 วัน โดยวันแรกเครื่องลงตอนแปดโมงเช้า และวันที่ 4 เครื่องออก 2 ทุ่ม 15 นาที
ถ้าผมเลือกเดินทางด้วย Limousine Bus ซื้อตั๋วไปกลับ พร้อม Subway Pass 3 วัน ราคา 6,000 เยน และต้องไปลงตามจุดที่รถบัสจอด ซึ่งถ้าเลือกพักโรงแรมใกล้เคียงก็ไม่เลวสำหรับทางเลือกนี้
ส่วนตั๋ว JR Wide Pass ราคา 10,000 เยน จะใช้ได้ 3 วัน สามารถนั่งรถไฟสาย Narita Express เข้าเมืองได้ และใช้ขึ้นรถไฟ JR ในโตเกียวได้จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 3 ส่วนวันที่ 4 ถ้าผมจะขึ้นรถไฟไปไหนต้องซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆ ไป และหากต้องการเดินทางไปยังสนามบินนาริตะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ผมก็ต้องจ่ายเพิ่มเช่นกัน
และถ้าผมจะขึ้นรถไฟ Keisei Skyliner เข้าเมือง ผมสามารถซื้อตั๋วไปกลับ+ Metro Pass 72 ชั่วโมง ราคา 5,400 เยน ผมจะสามารถขึ้นรถไฟใต้ดิน (ทุกสายของ Toei Subway และ Tokyo Metro) ได้จนถึงช่วงสายๆ หรือบ่ายๆ ของวันที่ 4 ได้เลย แล้วแต่ว่าจะวางแผนใช้ Pass ใบนี้ครั้งแรกตอนไหน มันจะนับเวลาไปจนครบ 72 ชั่วโมง และผมยังมีตั๋ว Skyliner สำหรับเดินทางไปยังสนามบินนาริตะอีกด้วย ซึ่งข้อมูลตรงนี้ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจ เพราะในรีวิวส่วนใหญ่จะบอก 3 วัน จึงต้องไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วถึงได้ความชัดเจนว่า 72 ชั่วโมง ชัวร์ ซึ่งก็ไม่แปลกที่รีวิวเก่าๆ ทำไมถึงบอก 1 วัน 2 วัน และ 3 วัน เพราะตั๋วแบบ 24, 48 และ 72 ชั่วโมง เพิ่งจะเริ่มใช้เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2016 นี่เอง หน้าตาตั๋วเป็นแบบนี้ครับ
ข้อแตกต่างระหว่างบัตรโดยสารรถไฟของทั้งสองเจ้าคือ JR ราคาแพงกว่า ต้องเสียค่ารถเดินทางกลับสนามบินนาริตะ และค่ารถไฟวันที่ 4 แต่สามารถนั่งรถไฟไปดูภูเขาไฟฟูจิที่ Kawaguchiko ได้ (ซึ่งอยู่ในโปรแกรมของผม) และยังสามารถนั่งรถไฟความเร็วสูง หรือ Shinkansen ได้ด้วย (อันนี้ไม่อยู่ในโปรแกรมของผม) ส่วน Metro pass นั้นราคาถูกกว่า ไม่ต้องเสียค่าเดินทางกลับไปยังสนามบินนาริตะ และในวันที่ 4 จะเสียค่ารถไฟในการเดินทางน้อยกว่า แต่ผมต้องเสียค่ารถเพื่อเดินทางไปยัง Kawaguchiko
ผมตัดสินใจเลือกใช้บริการ Keisei Skyliner+Metro Pass 72 hours ด้วยเหตุผลอะไร ติดตามกันตอนต่อไปครับ
ผมเห็นแผนที่ ถึงกับมึนตึ้บ ทำไมต้องมีสองอันด้วย subway หรือ Metro ก็มีหลายสี แยกเป็น Asakusa line, Ginza line ฯลฯ ส่วน JR ก็ยังหลายสีอีกมี Yamanote line, Chuo line และอีกสารพัด line แล้วมันเดินทางยังไงล่ะเนี่ย หลายคนคงเป็นแบบผม จะเริ่มต้นยังไงดี
เราจะว่ากันด้วย Subway กับ JR เท่านั้นนะครับ ความจริงยังมี Toei อีกสายหนึ่ง แต่จะไม่เอามาพูดถึง เพราะแค่นี้ก็งงพอแล้ว จากการที่ศึกษาข้อมูลมา Subway จะเป็นรถไฟใต้ดิน และเป็นของเอกชน ส่วน JR นั้นจะเป็นรถบนดิน เป็นของรัฐบาล
ทีนี้ เครื่องบินของผมลงที่สนามบินนาริตะ ผมต้องเลือกแล้วล่ะว่า จะเดินทางเข้าเมืองด้วยวิธีการไหนดี รถไฟ หรือ รถบัส และจะซื้อตั๋วแบบไหน ผมอยู่โตเกียวเป็นเวลา 4 วัน โดยวันแรกเครื่องลงตอนแปดโมงเช้า และวันที่ 4 เครื่องออก 2 ทุ่ม 15 นาที
ถ้าผมเลือกเดินทางด้วย Limousine Bus ซื้อตั๋วไปกลับ พร้อม Subway Pass 3 วัน ราคา 6,000 เยน และต้องไปลงตามจุดที่รถบัสจอด ซึ่งถ้าเลือกพักโรงแรมใกล้เคียงก็ไม่เลวสำหรับทางเลือกนี้
ส่วนตั๋ว JR Wide Pass ราคา 10,000 เยน จะใช้ได้ 3 วัน สามารถนั่งรถไฟสาย Narita Express เข้าเมืองได้ และใช้ขึ้นรถไฟ JR ในโตเกียวได้จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 3 ส่วนวันที่ 4 ถ้าผมจะขึ้นรถไฟไปไหนต้องซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆ ไป และหากต้องการเดินทางไปยังสนามบินนาริตะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ผมก็ต้องจ่ายเพิ่มเช่นกัน
และถ้าผมจะขึ้นรถไฟ Keisei Skyliner เข้าเมือง ผมสามารถซื้อตั๋วไปกลับ+ Metro Pass 72 ชั่วโมง ราคา 5,400 เยน ผมจะสามารถขึ้นรถไฟใต้ดิน (ทุกสายของ Toei Subway และ Tokyo Metro) ได้จนถึงช่วงสายๆ หรือบ่ายๆ ของวันที่ 4 ได้เลย แล้วแต่ว่าจะวางแผนใช้ Pass ใบนี้ครั้งแรกตอนไหน มันจะนับเวลาไปจนครบ 72 ชั่วโมง และผมยังมีตั๋ว Skyliner สำหรับเดินทางไปยังสนามบินนาริตะอีกด้วย ซึ่งข้อมูลตรงนี้ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจ เพราะในรีวิวส่วนใหญ่จะบอก 3 วัน จึงต้องไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วถึงได้ความชัดเจนว่า 72 ชั่วโมง ชัวร์ ซึ่งก็ไม่แปลกที่รีวิวเก่าๆ ทำไมถึงบอก 1 วัน 2 วัน และ 3 วัน เพราะตั๋วแบบ 24, 48 และ 72 ชั่วโมง เพิ่งจะเริ่มใช้เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2016 นี่เอง หน้าตาตั๋วเป็นแบบนี้ครับ
ข้อแตกต่างระหว่างบัตรโดยสารรถไฟของทั้งสองเจ้าคือ JR ราคาแพงกว่า ต้องเสียค่ารถเดินทางกลับสนามบินนาริตะ และค่ารถไฟวันที่ 4 แต่สามารถนั่งรถไฟไปดูภูเขาไฟฟูจิที่ Kawaguchiko ได้ (ซึ่งอยู่ในโปรแกรมของผม) และยังสามารถนั่งรถไฟความเร็วสูง หรือ Shinkansen ได้ด้วย (อันนี้ไม่อยู่ในโปรแกรมของผม) ส่วน Metro pass นั้นราคาถูกกว่า ไม่ต้องเสียค่าเดินทางกลับไปยังสนามบินนาริตะ และในวันที่ 4 จะเสียค่ารถไฟในการเดินทางน้อยกว่า แต่ผมต้องเสียค่ารถเพื่อเดินทางไปยัง Kawaguchiko
ผมตัดสินใจเลือกใช้บริการ Keisei Skyliner+Metro Pass 72 hours ด้วยเหตุผลอะไร ติดตามกันตอนต่อไปครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)