หลังจากที่จองโรงแรมและรู้เตรียมการเดินทางเข้าเมืองจากสนามบินนาริตะไปเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปผมก็เตรียมจองตั๋วรถบัสไปเพื่อไปดูภูเขาไฟฟูจิที่ Kawaguchiko เข้าไปที่เว็บไซต์นี้เลยครับ http://highway-buses.jp/ มีภาษาไทยให้เลือกด้วยนะครับ ลองเข้ามาดูกันว่าหลังจากที่เลือกภาษาไทย และเลือกตรงทะเลสาบคาวากุจิ แล้วหน้าตาจะเป็นยังไง
ถ้าเลื่อนหน้าจอลงไป ก็จะมีตารางเวลาเดินรถ เที่ยวแรกคือ 6.05 น. ใครใคร่เดินทางเที่ยวไหนเลือกกันได้ตามสบาย เลื่อนลงไปคลิกที่การจองตั๋ว (ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นภาษาอังกฤษ) เลือกวันเดินทาง เลือกเที่ยวรถ แต่จากที่ผมลองอยู่หลายครั้ง ถ้าคลิกการจองตั๋วที่อยู่ด้านล่าง จากหน้าที่เป็นภาษาไทย สามารถเ้ข้าไปเลือกวันเดินทางได้ แต่พอเป็นเวลาเดินรถกลับไม่ขึ้น
ขอแนำนำให้คลิกจากการจองตั๋ว ทางด้านซ้าย จะเปิดหน้าต่างใหม่ หน้าตาแบบนี้
ซึ่งผมว่าดูง่ายกว่ากันเยอะ จะเลือกเดินทางจากสถานี Shinjuku หรือ Shibuya ก็ได้ครับ แต่ที่สถานี Shibuya รถเที่ยวแรกจะออกสายกว่า คือเวลา 6.45 น. ก็ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ เมื่อจองเสร็จแล้วก็พิมพ์ใบจองออกมาเลยครับ เงินยังไม่ต้องจ่าย เก็บแบบฟอร์มการจองไว้ไปยื่นที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วในวันเดินทาง สำหรับตัวผมเลือกการเดินทางจากสถานี Shinjuku รถเที่ยวแรกเวลา 6.05 น.ซึ่งการเดินทางไปขึ้นรถบัสที่สถานี Shinjuku หรือ Shibuya มีคนรีวิวเอาไว้แล้ว ลองหาดูนะครับ หรือลองติดตามการเดินทางของผมในตอนต่อไป จะบอกการเดินทางไปขึ้นรถบัสที่สถานี Shinjuku ครับ
ถ้าจองไปแล้ว อยากจะเปลี่ยนวัน เปลี่ยนเที่ยว ก็เข้าไปยกเลิกการจอง ตรง On-Line Cancellation Form แล้วก็จองใหม่ครับ แต่ระวังจะเกิดปัญหานะครับ เพราะตอนที่ผมไปรับตั๋ว เจ้าหน้าที่บอกว่า ของผมมี 2 บุ้คกิ้ง ทั้งที่ยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ชี้แจงไปครับว่าเราเดินทางกันแค่ 3 คน และทำการยกเลิกออนไลน์แล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ว่าอะไรครับ จ่ายเงินแค่ 3 คน
อยากจะบอกว่า จากที่อ่านมา คนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือไม่พูดภาษาอังกฤษ ไม่จริงเลยครับ ภาษาญี่ปุ่นของผมได้แค่ โอฮาโย โกไซมัส, คอนนิจิวะ และ อาริกาโตะ สามคำเท่านั้น นอกนั้นใช้ภาษาอังกฤษ
ความจริงหาข้อมูล เจอหลายกระทู้ที่เข้ามาถามว่าพูดอังกฤษไม่ได้ไปญี่ปุ่นได้มั้ย หลายคนก็เข้ามาตอบว่า ไปได้ถ้าเตรียมข้อมูลดีๆ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่ารู้บ้างก็ดีนะ ไม่ต้องพูดได้เป็นประโยคหรอกครับ เอาเป็นคำๆ ก็ได้ เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินอย่างที่ผมเคยเจอมา เช่น ญาติหัวใจวายที่เมืองจีน คุยกับคนจีนไม่รู้เรื่องหรอกครับ แต่ภาษาอังกฤษนิดหน่อยๆ ทำให้คุยกับหมอรู้เรื่องได้
หรืออ่านเจอกระทู้นึงในพันทิป รู้ว่าพาสปอร์ตหายตอนประมาณเที่ยงของวันศุกร์ ก่อนขึ้นเครื่อง 6 ชม ซึ่งถึงคุณจะเตรียมเอกสารไปดีขนาดไหน คุณก็ต้องไปแจ้งความและคุยกับตำรวจเป็นภาษาอังกฤษ พอฟังออกบ้างว่าเค้าถามอะไร และที่สำคัญเงินสำรองหรือบัตรเครดิตคุณพร้อมมั้ย เพราะนักท่องเที่ยวรายนี้ ถึงแม้ว่าจะไปกันสองคน แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ญี่ปุ่นต่อคนเดียว เพราะไม่สามารถติดต่อสถานทูตได้ทันในวันศุกร์ ต้องติดต่อและเดินทางกลับในวันจันทร์ เสียเงินเพิ่มอีก 15,000 บาท เพื่อนกลับไปก่อน เพราะไม่งั้นก็ต้องเสียเงินค่าตั๋ว ค่าที่พักเพิ่มเช่นกัน
สำหรับตัวผมแล้วก้ไม่ได้เตรียมตัวหาถึงขนาดว่าสถานทูตไทยตั้งอยู่ตรงไหน เตรียมรูปถ่ายติดตัวไปด้วย แต่ผมมีตัวช่วยโดยให้เพื่อนที่เมืองไทย ซึ่งมีเพื่อนอยู่ในโตเกียว แจ้งทางโน้นก่อนว่า ถ้าการเดินทางของผมมีปัญหาอะไรจะขอความช่วยเหลือจากเค้านะ และถ่ายหน้าพาสปอร์ตส่งต่อไปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของทุกคน ซึ่งคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว เรื่องบังเอิญร้ายๆ คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เตรียมพร้อมไว้สักนิดไม่เสียหายครับ
กลับมาเข้าเรื่องการเตรียมตัวกันต่อดีกว่าครับ เดี๋ยวไม่จบ ออกทะเลไปซะไกล สุดท้ายเป็นเรื่องการสื่อสารครับ เดี่ยวนี้ใครๆ ก็ต้องใช้ google maps ซึ่งต้องมีอินเทอร์เนต ผมเลือกใช้ สุโก้ยซิม ครับ https://www.facebook.com/sugoisim/?fref=ts ซื้อสองซิม รวมค่าส่ง 700 บาท ตามลิ้งค์ล็อตใหม่เหมือนราคาจะขึ้นแล้ว แต่เล่นเนตได้ไม่จำกัด ความเร็วไม่ลด ของผมได้แค่ 2 GB เหลือเฟือแล้วสำหรับใช้หาข้อมูลการเดินทาง อัปโหลดรูปนิดหน่อย แต่ก็ต้องตั้งค่าในโทรศัพท์นิดหน่อย ก่อนจะซื้ออินบ็อกซ์ไปสอบถามก่อนนะครับ ว่าโทรศัพท์รุ่นของเราสามารถใช้ได้มั้ย
ทำไมไม่เลือก pocket wifi เพราะ pocket wifi รวมแรล้วราคาแพงกว่า และต้องเดินทางตัวติดกันตลอด แยกกันเดินไม่ได้ นี่ผมสามารถแยกกันเดินได้ และแม้จะโทรศัพท์หากันไม่ได้ แต่ผมก็ยังสามารถโทรผ่าน Line หรือ Messenger ได้ เป็นภาระในการพกพาและชาร์จแบต ไม่ต้องเดินทางไปรับไปส่งคืน pocket wifi เพราะซิมส่งมาให้ถึงบ้านครับ
เมื่อโอนเงินซื้อซิม สองวันของก็ส่งถึงบ้าน ก่อนเดินทาง ผมก็ตั้งค่าโทรศัพท์ตามคำแนะนำในเว็บไซต์ http://www.sugoi-sim.com/user-guide.html
พอไปถึงโตเกียว เราก็ใช้ได้เลย
ตอนต่อไปเราจะเดินทางกันแล้วนะครับ
No comments:
Post a Comment